วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คำถาม

1.ใครเป็นผู้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรีพร้อมกับสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ของราชอาราจักรไทย
    ก.รัชกาลที่ 1                          ข.รัชกาลที่ 2                       ค.รัชกาลที่ 3                                   ง.รัชกาลที่ 4

2.ราชการกำหนดให้วันที่ 6 เมษายนเป็นวันอะไร
    ก.วันฉัตรมงคล                 ข.วันจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ                ค.วันจักรี                 ง.วันสงกรานต์

3.สัญญาการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษเรียกว่าอะไร
  ก.สัญญาไซเตท                  ข.สัญญาแวร์ซายน์                ค.สัญญาเบอร์นี               ง.สัญญาอิกลู

4.พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงมีพระราชดำริให้ย้ายราชธานีไปฝั่งใดของแม่น้ำเจ้าพระยา
  ก.ฝั่งตะวันตก              ข.ฝั่งตะวันออก             ค.ฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ           ง.ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้

5.ภาษีมี่กี่ประเภทได้แก่อะไรบ้าง
   ก. 3 ประเภท คือ จังกอบ ฤชา ส่วย          ข. 2 ประเภท คือ จังกอบ ส่วย       ค. 2 ประเภท คือ ฤชา อากร             
   ง.4ประเภท คือ จังกอบ ฤชา ส่วย อากร

6.กฎหมายที่มีการประทับตราด้วยราชสีห์ คชสีห์ และบัวแก้ว มีชื่อเรียกว่าอะไร
ก.กฎหมายรัชกาลที่ 4              ข.กฎหมายบัวคชสีห์         ค.กฎหมายรัชกาลที่ 6        ง.กฎหมายตราสามดวง

7. ปัจจัยใดที่ไม่ได้ส่งเสริมให้สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ได้อย่างมั่นคงและรุ่งเรือง
ก.มี่ที่ตั้งในทางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม                     ข.เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเกษตร              ค.เป็นศูนย์กลางการค้าที่ตั้งไม่ไกลจากปากแม่น้ำ         ง.ประชากรมีจำนวนน้อย

8.กฎหมายตราสามดวงมีหน้าที่อย่างไร
ก.เพื่อใช้ต่อรองระหว่างประเทศ             ข.ใช้เกณฑ์แรงงานทาส            ค.ใช้เป็นหลักในการตัดสินคดีความ        ง.ใช้เพื่อกำหนดหน้าที่ของไพร่

9.ลักษณะสังคมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นแบ่งออกเป็นกี่ระดับมีอะไรบ้าง
ก. 1 ระดับ คือชนชั้นข้าราชการ                                     ข. 3 ระดับ คือ ชนชั้นข้าราชการ ไพร่ และทาส        ค. 2 ระดับ คือ ระดับชนชั้นปกครองและชนชั้นที่ถูกปกครอง          ง. 2 ระดับคือเชื้อพระวงศ์และขุนนาง

10.วัดประจำรัชกาลที่ 9 คือวัดใด
ก.วัดพระศรีรัตนศาสดาราม                   ข.วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร          ค.วัดราชโอรสาราม      ง.วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก


วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วัดประจำรัชกาลที่๑-๙


วัดประจำรัชกาลที่ ๑

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร

สำหรับ วัดประจำรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  บางคนอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)  แต่จริงๆ แล้ววัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดประจำพระบรมมหาราชวังเท่านั้น  ส่วนวัดประจำรัชกาลที่ ๑ จริงๆ แล้วก็คือ  “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหารหรือ วัดโพธิ์”  วัดโบราณเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  ที่ตั้งอยู่ใกล้กับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) และพระบรมมหาราชวัง  ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้เข้ามาบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่
วัดโพธิ์หรือมีนามทางราชการว่า  “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร”  เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เดิมชื่อว่า วัดโพธาราม”  เป็นวัดโบราณเก่าแก่ที่ราษฎรสร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี  แม้ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างที่แน่ชัด  แต่สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นหลังจากปีพุทธศักราช ๒๒๓๑  ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชาต่อกับรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  เป็นวัดราษฎร์ขนาดเล็กอยู่ในเขตตำบลบางกอก ปากน้ำเจ้าพระยา เมืองธนบุรี  ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดโพธิ์มาจนถึงกระทั่งทุกวันนี้
ครั้นมาในสมัยกรุงธนบุรี เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงสถาปนาเมืองธนบุรีเป็นนครหลวง  ได้ทรงกำหนดเขตเมืองหลวงทั้งสองฝั่ง มีแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ในเขตกลางเมืองหลวง  วัดโพธารามตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาจึงอยู่ในเขตพระมหานคร  และได้ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง มีพระราชาคณะปกครองตั้งแต่นั้นมา
จนกระทั่งในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์  พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑  องค์ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ขึ้นเสวยราชสมบัติ  และได้ย้ายเมืองหลวงมายังฝั่งพระนคร มีการสร้างพระบรมมหาราชวังขึ้นใหม่  จึงทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดโพธารามที่อยู่ในบริเวณเดียวกันไปด้วย  และโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดโพธารามเป็นวัดหลวงข้างพระบรมมหาราชวัง  ภายหลังวัดแห่งนี้ก็ได้ถือว่าเป็นพระอารามหลวงประจำรัชกาลที่ ๑
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม พระอารามหลวงแห่งนี้  มีเนื้อที่ทั้งหมด ๕๐ ไร่ ๓๘ ตารางวา ตั้งอยู่ด้านทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง  ทิศเหนือจดถนนท้ายวัง ทิศตะวันออกจดถนนสนามไชย ทิศใต้จดถนนเศรษฐการ  ทิศตะวันตกจดถนนมหาราช มีถนนเชตุพนขนาบด้วยกำแพงสูงสีขาว แบ่งเขตพุทธาวาสและเขตสังฆาวาสแยกจากกันไว้อย่างชัดเจน
มีหลักฐานปรากฏใน ศิลาจารึกวัดโพธิ์ไว้ว่า  หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑  ทรงสถาปนาพระบรมมหาราชวังแล้ว ทรงพระราชดำริว่า  มีวัดเก่าแก่ขนาบพระบรมมหาราชวัง ๒ วัด ด้านเหนือ คือ วัดสลัก  (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์) ส่วนด้านใต้ คือ วัดโพธาราม  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขุนนางเจ้าทรงกรม ช่างสิบหมู่ฝีมือเยี่ยม  มาร่วมอำนวยการบูรณปฏิสังขรณ์เพื่อสถาปนาให้เป็นวัดหลวง  โดยเริ่มการบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๑ ใช้เวลาถึง ๗ ปี ๕ เดือน ๒๘ วัน  จึงแล้วเสร็จและโปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๔๔  แล้วพระราชทานนาม วัดโพธารามใหม่ว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ”  ครั้นต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนท้ายนามวัดเป็น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม


วัดประจำรัชกาลที่ ๒

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร


วัดประจำรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  คือ วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหารหรือ วัดแจ้ง”  เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านดำรงตำแหน่งเป็นวังหน้าในรัชกาลที่ ๑  ที่ประทับของท่านจะอยู่ที่พระราชวังเดิม ฝั่งธนบุรี และวัดที่อยู่ใกล้กับ พระราชวังเดิมที่สุดก็คือวัดอรุณราชวราราม พระองค์ท่านจึงได้โปรดเกล้าฯ  ให้มีการบูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ และยังได้ทรงลงมือปั้นหุ่นพระพักตร์ พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก’  พระประธานในพระอุโบสถ ด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองอีกด้วย  และเมื่อพระองค์ท่านทรงเสด็จสวรรคต พระบรมอัฐิของพระองค์ ก็ถูกนำมาประดิษฐานไว้ที่พระอุโบสถวัดอรุณราชวรารามแห่งนี้
วัดอรุณราชวราราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณเก่าแก่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา  ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกของฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา  ไม่พบหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้างวัดในสมัยโบราณ  ตามหลักฐานเท่าที่ปรากฏมีเพียงว่า เป็นวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา  มีมาก่อนรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พุทธศักราช ๒๑๙๙-๒๒๓๑)  เพราะมีแผนที่เมืองธนบุรีซึ่งเรือเอก เดอ ฟอร์บัง (Claude de Forbin)  กับนายช่าง เดอ ลามาร์ (de Lamare) ชาวฝรั่งเศส ทำขึ้นไว้เป็นหลักฐานในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช  อีกทั้งวัดแห่งนี้ยังมีพระอุโบสถและพระวิหารของเก่าที่ตั้งอยู่ ณ  บริเวณหน้าพระปรางค์ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นฝีมือช่างสมัยกรุงศรีอยุธยา
มูลเหตุที่เรียกชื่อวัดนี้แต่เดิมว่า วัดมะกอกนั้น ตามทางสันนิษฐานเข้าใจว่า คงจะเรียกคล้อยตามชื่อตำบลที่ตั้งวัด ซึ่งสมัยนั้นมีชื่อว่า ตำบลบางมะกอก’  (เมื่อนำมาเรียกรวมกับคำว่า วัดในตอนแรกๆ คงเรียกว่า วัดบางมะกอกภายหลังเสียงหดลงคงเรียกสั้นๆ ว่า วัดมะกอก’) ตามคติเรียกชื่อวัดของไทยสมัยโบราณ  เพราะชื่อวัดที่แท้จริงมักจะไม่มี จึงเรียกชื่อวัดตามชื่อตำบลที่ตั้ง  ต่อมาเมื่อได้มีการสร้างวัดขึ้นใหม่อีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกันนี้  แต่อยู่ลึกเข้าไปในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกชื่อวัดที่สร้างใหม่ ว่า วัดมะกอกใน” (ในปัจจุบันคือ วัดนวลนรดิศวรวิหาร)  แล้วเลยเรียก วัดมะกอกเดิมซึ่งอยู่ตอนปากคลองบางกอกใหญ่ ว่า วัดมะกอกนอกเพื่อให้ทราบว่าเป็นคนละวัด
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๓๑๐ เมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ทรงมีพระราชประสงค์จะย้ายราชธานี มาตั้ง ณ กรุงธนบุรี จึงเสด็จกรีฑาทัพล่องลงมาทางชลมารคถึงหน้า  ‘วัดมะกอกนอกแห่งนี้เมื่อเวลารุ่งอรุณพอดี จึงทรงเปลี่ยนชื่อวัดมะกอกนอก  เป็น วัดแจ้งเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงการได้เสด็จมาถึงวัดนี้เมื่อเวลาอรุณรุ่ง
เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชโปรดให้ย้ายราชธานีจากกรุงศรีอยุธยา มาตั้ง ณ กรุงธนบุรี ในปี พ.ศ.๒๓๑๑ และได้ทรงสร้างพระราชวังใหม่  มีการขยายเขตพระราชฐาน เป็นเหตุให้วัดแจ้งตกเข้ามาอยู่กลางพระราชวัง จึงโปรดไม่ให้มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษา  การที่เอาวัดแจ้งเป็นวัดภายในพระราชวังนั้น  คงจะทรงถือแบบอย่างพระราชวังในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่มีวัดพระศรีสรรเพชญ์อยู่ในพระราชวัง  การปฏิสังขรณ์วัดเท่าที่ปรากฏอยู่ตามหลักฐานในพระราชพงศาวดาร ก็คือ ปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ และพระวิหารหลังเก่าที่อยู่หน้าพระปรางค์ กับโปรดให้สร้างกำแพงพระราชวังโอบล้อมวัด  เพื่อให้สมกับที่เป็นวัดภายในพระราชวัง แต่ไม่ปรากฏรายการว่า  ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์หรือก่อสร้างสิ่งใดขึ้นบ้าง
ในสมัยกรุงธนบุรีเป็นราชธานี ถือกันว่าวัดแจ้งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง เนื่องจากเป็นวัดที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและพระบาง  ซึ่ง สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก  (พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑)  ไปตีเมืองเวียงจันทน์ได้ในปีกุน เอกศก จุลศักราช ๑๑๔๑ (พ.ศ.๒๓๒๒)  แล้วอัญเชิญพระพุทธรูปสำคัญ ๒ องค์คือ พระแก้วมรกตและพระบาง  ลงมากรุงธนบุรีด้วย และมีการสมโภชเป็นเวลา ๒ เดือน ๑๒ วัน  จนกระทั่งถึงวันวิสาขปุณณมี วันเพ็ญกลางเดือน ๖ ปีชวด โทศก  จุลศักราช ๑๑๔๒ (พุทธศักราช ๒๓๒๓) โปรดเกล้าฯ  ให้อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบางขึ้นประดิษฐานไว้ในมณฑป  ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังพระอุโบสถเก่าและพระวิหารเก่า หน้าพระปรางค์  อยู่ในระยะกึ่งกลางพอดี มีการจัดงานสมโภชใหญ่ ๗ คืน ๗ วันด้วยกัน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑  เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ได้โปรดให้สร้างพระนครใหม่ข้างฝั่งตะวันออก ของแม่น้ำเจ้าพระยา และรื้อกำแพงพระราชวังกรุงธนบุรีออก  ด้วยเหตุนี้วัดแจ้งจึงไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวังอีกต่อไป  พระองค์จึงโปรดให้วัดแจ้งเป็นวัดที่มีพระสงฆ์จำพรรษาอีกครั้งหนึ่ง  โดยนิมนต์ พระโพธิวงศาจารย์ จากวัดบางหญ้าใหญ่  (วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ) มาครองวัด พร้อมทั้ง พระศรีสมโพธิและพระภิกษุสงฆ์จำนวนหนึ่งมาเป็นพระอันดับ
นอกจากนั้นพระองค์ทรงมอบหมายให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร (รัชกาลที่ ๒)  เป็นผู้ดำเนินการปฏิสังขรณ์วัดแจ้ง  แต่การปฏิสังขรณ์คงสำเร็จเพียงกุฏิสงฆ์ ส่วนพระอุโบสถและพระวิหาร ยังไม่ทันแล้วเสร็จ ก็พอดีสิ้นรัชกาลที่ ๑ ในปี พ.ศ.๒๓๕๒ เสียก่อน (เมื่อปี พ.ศ.๒๓๒๗ พระแก้วมรกตได้ย้ายมาประดิษฐาน  ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง  ส่วนพระบางนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ได้โปรดพระราชทานคืนไปยังนครเวียงจันทร์ ประเทศลาว)
ต่อมาในรัชกาล พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  รัชกาลที่ ๒ พระองค์ทรงดำเนินการปฏิสังขรณ์ต่อจนเสร็จ  มีการจัดงานสมโภชใหญ่ถึง ๗ วัน ๗ คืน  แล้วโปรดพระราชทานพระนามวัดว่า วัดอรุณราชธาราม
ส่วนยอดสุดขององค์พระปรางค์ใหญ่ เป็น ยอดนภศูลครอบด้วยมงกุฎปิดทองอีกชั้นหนึ่ง
ในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓  ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดอรุณฯ ใหม่หมดทั้งวัด พร้อมทั้งโปรด ให้ลงมือก่อสร้างพระปรางค์ตามแบบที่ทรงคิดขึ้นด้วย  ซึ่งการก่อสร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ภายในวัดอรุณฯ นี้สำเร็จลงแล้ว  แต่ยังไม่ทันมีงานฉลองก็สิ้นรัชกาลที่ ๓ ในปี พ.ศ.๒๓๙๔
เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔  เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ในปี พ.ศ.๒๓๙๔ พระองค์ได้โปรดให้สร้างและปฏิสังขรณ์สิ่งต่างๆ ในวัดอรุณฯ  เพิ่มเติมอีกหลายอย่าง อีกทั้งยังได้อัญเชิญ พระบรมอัฐิของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย  มาบรรจุไว้ที่ พระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถ  ที่พระองค์ทรงพระราชทานนามว่า พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก’  และเมื่อได้ทรงปฏิสังขรณ์เสร็จเรียบร้อยแล้ว  จึงได้พระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า  ‘วัดอรุณราชวรารามดังที่เรียกกันมาจนถึงปัจจุบัน



วัดประจำรัชกาลที่ ๓

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดราชโอรสาราม



 วัดราชโอรสาราม หรือ วัดราชโอรส ตั้งอยู่ริมคลองสนามไชย ฝั่งตะวันตก (ฝั่งธนบุรี) และติดคลองบางหว้า ทางด้านทิศเหนือของวัด ตั้งอยู่เลขที่ ๒๕๘ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
   วัดราชโอรสเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร และถือเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๓ แห่งบรมราชวงศ์จักรี เป็นวัดโบราณมีมาก่อนสร้างกรุงสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ คือ เป็นวัดราษฎร์ที่สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เดิมเรียกว่า "วัดจอมทอง" บ้าง "วัดเจ้าทอง" บ้าง หรือ "วัดกองทอง" บ้าง
ในสมัยราชกาลที่ ๓ พ.ศ. ๒๓๖๓ มีข่าวว่าพม่าตระเตรียมกำลังจะยกเข้ามาตีประเทศสยาม พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยจึงโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓) ทรงเป็นแม่ทัพคุมพลไปขัดตาทัพพม่าทางเจดีย์ ๓ องค์ จังหวัดกาญจนบุรี ได้เสด็จประทับแรมที่หน้าวัดจอมทองนี้ และทรงทำพิธีเบิกโขลนทวาร ตามลักษณะพิชัยสงคราม ทรงอธิษฐานให้ประสบความสำเร็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ แต่พม่าไม่ได้ยกทัพมาตามที่เล่าลือกันและเมื่อพระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทรงเลิกทัพเสด็จกลับพระนครแล้ว จึงโปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดจอมทองใหม่ทั้งวัด และถวายเป็นพระอารามหลวง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า "วัดราชโอรส" 
   ถึงแม้ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงสถาปนาวัดนี้ ในขณะที่ทรงเป็นพระเจ้าลูกยาเธอก็ตาม แต่เนื่องจากทรงสถาปนาเป็นการส่วนพระองค์ จึงทรงพระราชดำริเปลี่ยนแปลงแบบอย่างศิลปกรรมตามความพระราชหฤทัย 
   ดังนั้น วัดราชโอรสจึงตกแต่งด้วยศิลปะจีนเป็นส่วนมาก นับเป็นวัดแรกที่เป็นวัดที่คิดสร้างออกนอกแบบอย่างวัด ซึ่งสร้างกันอย่างสามัญ ศิลปกรรมไทยที่มีอยู่ในวัดนี้ พระองค์ทรงสร้างได้อย่างเหมาะสมกลมกลืนงดงามยิ่งนัก อย่างหาที่ติมิได้ เช่น โบสถ์ วิหาร ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ แต่หลังคาโบสถ์เป็นกระเบื้องเคลือบแบบไทย กุฏิพระสงฆ์เป็นอาคารตึกแทนเรือนไม้แบบของเดิมการประดับตกแต่งต่างๆ เป็นแบบจีนผสมไทย เช่น บานประตูหน้าต่างพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ประดับด้วยเสี้ยวกางแทนลายเทพนม หรือลายไทยแบบของเดิม หน้าบันพระอุโบสถ และพระวิหารประดับพระเบื้องเคลือบสี จึงนับเป็นครั้งแรกที่มีการประยุกต์ศิลปกรรมได้อย่างประณีต เหมาะสม เป็นสัญลักษณ์แห่งศาสนสถานได้อย่างสง่า และงดงาม 
   

วัดประจำรัชกาลที่ ๔

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร



วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เป็นอารามหลวงชั้นเอกที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นพระอารามหลวงของพระมหากษัตริย์ ตามโบราณราชประเพณีและทรงรับเข้าอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ของพระกษัตริย์ทุกพระองค์สืบมาจนถึงปัจจุบันนี้ นับได้ว่า วัดราชประดิษฐฯเป็นพระอารามหลวงที่สำคัญยิ่งพระอารามหนึ่งในพระบรมราชจักรีวงศ์
   พระราชประสงค์อีกประการหนึ่งในการสร้างวัดราชประดิษฐ์ฯขึ้น ก็เพื่ออุทิศถวายแด่พระสงฆ์คณะธรรมยุติกนิกายโดยเฉพาะ เนื่องจากครั้งยังทรงผนวชอยู่ ทรงเป็นหัวหน้านำพระสงฆ์ชำระข้อปฏิบัติ ก่อตั้งคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกายขึ้น พระอารามนี้จึงนับเป็นพระอารามแรกของคณะสงฆ์ธรรมยุติ เพราะวัดธรรมยุติก่อนๆนั้น ได้ดัดแปลงมาจากวัดมหานิกายเดิมทั้งนั้น วัดประดิษฐ์ฯ จึงเป็นเสมือนวัดต้นแบบของคณะธรรมยุติกนิกายที่มีอยู่ในพุทธอาณาจักรบนแผ่นดินไทยนับแต่สมัยนั้นเป็นต้นมา


วัดประจำรัชกาลที่ ๕

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร



บริเวณวัดนี้เดิมเป็นวังของพระบรมวงศ์เธอกรมหลวง บดินทร ไพศาลโสภณ วัดราชบพิธฯ เริ่มก่อสร้าง เมื่อ พ.ศ. 2412 (สมัยรัชกาลที่ 5) เสร็จในปี พ.ศ. 2413 แล้วนิมนต์พระสงฆ์จากวัดโสมนัสวรวิหารมาจำพรรษาอยู่ พร้อมกับอัญเชิญพระพุทธนิรันตรายมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ  ตัวพระอุโบสถภายนอกสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ประกอบด้วยลวดลายกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์รูปเทพประนม(มือ) ภายในเป็นสถาปัตยกรรมโกธิค พระประธานคือ พระพุทธอังคีรส ภายใต้พระประธานมิได้เพียงบรรจุพระสรีรังคารของ ร.๕ เพียงเท่านั้นยังบรรจุพระสรีรังคารของพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ ด้วย



วัดประจำรัชกาลที่ ๖

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดบวรนิเวศวิหาร


วัดบวรนิเวศวิหารเป็นวัดชั้นเอกชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร บางลำภู กรุงเทพฯ แต่เดิมวัดนี้เป็นวัดใหม่อยุ่ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส ต่อมาได้รวมเข้าเป็น วัดเดียวกัน โดยกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพย์ ในรัชกาลที่ ๓ ทรงสร้างขั้นใหม่ วัดนี้ ได้รับการทะนุบำรุง และสร้างสิ่งก่อสร้างต่างๆขึ้นจนเป็นวัดสำคัญวัดหนึ่ง โดยเฉพาะในสมัย ปลายรัชกาลที่ ๓ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงอาราธนา สมเด็จพระ อนุชาธิราชเจ้าฟ้ามงกุฏ ซึ่งผนวชเป็นพระภิกษุ อยู่วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส) เสด็จมาครอง เมื่อ พ.ศ.๒๓๗๕ ทำให้วัดนี้ได้รับการบูรณะ ปฏิสังขรณ์ และเสริมสร้างสิ่งต่างๆขึ้น

    เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชาคณะเสด็จประทับที่วัดนี้แล้วทรง บูรณะปฏิสังขรณ์และสร้างถาวรวัตถุต่างๆเพิ่มเติมขึ้นหลายอย่าง พร้อมทั้งได้รับพระราชทาน ตำหนักจากรัชกาลที่ ๓ ด้วย ในสมัยต่อมาวัดนี้ เป็นวัดที่ประทับของพระมหากษัตริย์ เมื่อทรง ผนวชหลายพระองค์ เช่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ และ พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน จึงทำให้วัดนี้ได้รับการทะนุบำรุงให้คงสภาพดีอยู่เสมอ ในปัจจุบัน นี้ ศิลปกรรมโบราณวัตถุ และ ศิลปวัตถุ หลายสิ่งหลายอย่างอยู่ในสภาพดีพอที่จะชม และ ศึกษาได้ เป็นจำนวนไม่น้อย


วัดประจำรัชกาลที่ ๗
                    พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว                     


วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร



บริเวณวัดนี้เดิมเป็นวังของพระบรมวงศ์เธอกรมหลวง บดินทร ไพศาลโสภณ วัดราชบพิธฯ เริ่มก่อสร้าง เมื่อ พ.ศ. 2412 (สมัยรัชกาลที่ 5) เสร็จในปี พ.ศ. 2413 แล้วนิมนต์พระสงฆ์จากวัดโสมนัสวรวิหารมาจำพรรษาอยู่ พร้อมกับอัญเชิญพระพุทธนิรันตรายมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ  ตัวพระอุโบสถภายนอกสถาปัตยกรรมแบบไทยแท้ ประกอบด้วยลวดลายกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์รูปเทพประนม(มือ) ภายในเป็นสถาปัตยกรรมโกธิค พระประธานคือ พระพุทธอังคีรส ภายใต้พระประธานมิได้เพียงบรรจุพระสรีรังคารของ ร.๕ เพียงเท่านั้นยังบรรจุพระสรีรังคารของพระมหากษัตริย์พระองค์อื่น ๆ ด้วย


วัดประจำรัชกาลที่ ๘

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

วัดวัดสุทัศนเทพวราราม





วัดนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี โปรดเกล้าให้สถาปนาขึ้น แต่ทรงสร้างค้างไว้แต่เพียงรากพระวิหาร ถึงรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างใหม่ทั้งอาราม ในรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปฎิสังขรณ์เพิ่มเติมอีก
   ส่วนมูลเหตุที่จะทรงสร้างวัดนี้ มีเรื่องราวปรากฏมาว่า เมื่อสร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นมาเป็นราชธานีแล้ว ความมุ่งหมายที่จะทำนุบำรุงให้เหมือนกรุงศรีอยุธยาเดิม ด้วยนับถือกันว่า ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีเป็นสมัยที่บ้านเมืองรุ่งเรือง เรียกกันว่า ครั้งบ้านเมืองดี รั้ววังวัดวาที่สร้างขึ้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ก็มักถ่ายแบบมาจากกรุงศรีอยุธยา ยกตัวอย่างเช่นที่สร้างวัดสุทัศน์ฯ เป็นที่ประดิษฐานพระโตซึ่งเชิญมาแต่กรุงสุโขทัยในสมัยรัชกาลที่ ๑ ก็มีพระราชประสงค์จะสร้างแทนวัดพระเจ้าพนัญเชิงที่กรุงเก่าดังนี้เป็นต้น


วัดประจำรัชกาลที่ ๙

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

วัดวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก





ในปีพุทธศักราช ๒๕๓๑ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำริให้แก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสีย ด้วยวิธีเติมอากาศที่บึงพระราม ๙ ซึ่งเป็นที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และปรับปรุงสภาพพื้นที่เพื่อพัฒนาชุมชนบริเวณบึงพระราม ๙ ดำเนินการจัดตั้งวัด เพื่อเป็นพุทธสถานในการประกอบกิจของสงฆ์ และเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจของราษฎรในการที่ประกอบกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน
ต่อมาในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นางสาวจวงจันทร์ สิงหเสนี เข้าเฝ้าฯ น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินจำนาน ๕-๒-๕๔ ไร่ เพื่อดำเนินการสร้างวัดในนามมูลนิธิชัยพัฒนา ได้รับอนุญาตจากกรมการศาสนาให้จัดสร้างวัด ซึ่งมีสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายสงฆ์ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นองค์อุปถัมภ์ฝ่ายฆราวาส


พัฒนาการระหว่างประเทศ

พัฒนาการทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยรัตนโกสินทร์
      สำหรับลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์สามารถแบ่งออกได้เป็นช่วงดังนี้                                                                                                                                                                      1.ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ( พ.ศ. 2325 – 2394 )           การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยระหว่าง พ.ศ. 2325 – 2394 จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาความมั่นคงของอาณาจักร และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งเป็น                                                                                           1)ลักษณะความสัมพันธ์กับรัฐที่อยู่ใกล้เคียงในทวีปเอเชีย  มีทั้งการขยายอิทธิพลเข้าไปครอบครองเพื่อเป็นพันธมิตร การทำสงคราม และแบบรัฐบรรณาการ                                                                                       1.1) ความสัมพันธ์กับล้านนา  ในสมัยรัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 3 เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน เช่น รัชกาลที่ 1 ทรงส่งกองทัพไปช่วยล้านนาขับไล่พม่า ทั้งยังทรงสถาปนาพระยากาวิละที่รบชนะพม่าให้เป็นพระเจ้าเชียงใหม่ โดยปกครองดูแลหัวเมืองเหนือทั้งหมด เป็นต้น                                                                                 1.2)ความสัมพันธ์กับพม่า  อยู่ในลักษณะทำสงครามสู้รบกัน โดยไทยทำสงครามกับพม่ารวมทั้งสิ้น 10 ครั้ง สงครามครั้งที่มีความสำคัญที่สุด คือ สงครามเก้าทัพใน พ.ศ. 2328 แต่เมื่อพม่าเผชิญหน้ากับการคุกคามของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก คือ อังกฤษ ในเวลาต่อมาก็ไม่ได้ยกทัพมาสู้รบกับไทยอีก
                              1.3)ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญ  สมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ความสัมพันธ์จะอยู่ในลักษณะการผูกไมตรีและอุปถัมภ์พวกมอญ เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้ทรงส่งกำลังไปช่วยพระยาทวายรบกับพม่าที่เข้ามายึดครอง หลังจากปิดล้อมเมืองอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพกลับ และพาครอบครัวชาวมอญมายังกรุงเทพฯ ด้วย หรือรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ ให้ชาวมอญไปตั้งชุมชนอยู่ที่เมืองนนทบุรี ปทุมธานี และเมืองนครเขื่อนขันธุ์ (พระประแดง) ผลดีจากความสัมพันธ์ดังกล่าว นอกจากจะได้ผู้คนเพิ่มขึ้นและความจงรักภักดีแล้ว ไทยยังได้รับอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมบางประการจากชาวมอญด้วย อย่างไรก็ดี ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อเมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรี ตกเป็นของอังกฤษ ไทยก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหัวเมืองมอญอีก                                                                                                                 1.4)ความสัมพันธ์กับเขมร  อยู่ในลักษณะการทำสงครามเพื่อขยายอำนาจเข้าครอบครอง เพราะไทยต้องการให้เขมรเป็นรัฐกันชนระหว่างไทยกับญวน โดยในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้ทรงแต่งตั้งกษัตริย์ปกครองเขมร แต่ในสมัยรัชกาลที่ 2 เขมรได้เอาใจออกห่างไทยโดยหันไปฝักใฝ่กับญวนแทน จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปขับไล่ญวนออกจากเขมร แล้วให้ตีลงไปจนถึงไซ่ง่อน ในที่สุดไทยกับญวนก็ได้ร่วมกันแก้ไขข้อพิพาทร่วมกันโดยให้เขมรส่งบรรณาการแก่ไทยและญวนอย่างเท่าเทียมกัน ปัญหาระหว่างไทยกับญวนเรื่องเขมรจึงยุติลง                                                                                      1.5)ความสัมพันธ์กับล้านช้าง (ลาว) มีทั้งการขยายอิทธิพลเข้าไปครอบครอง การผูกมิตรไมตรี และบางครั้งก็ทำสงครามต่อกัน โดยในสมัยรัชกาลที่ 1 ล้านช้างเกิดความแตกแยกภายใน ทำให้ไทยขยายอิทธิพลเข้าไปได้ง่ายขึ้นผสมผสานกับการผูกมิตรไมตรีเพื่อให้เกิดความจงรักภักดี ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ได้คิดกบฏ ทางไทยจึงได้ยกกองทัพไปปราบ ลาวจึงตกเป็นประเทศราชของไทยเรื่อยมา จนกระทั่งต้องเสียให้แก่ฝรั่งเศสไปในภายหลังต่อมา                                                            1.6)ความสัมพันธ์กับญวน  ส่วนใหญ่จะเป็นการทำสงครามต่อกันเพื่อแย่งชิงเขมร โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด ภายหลังเมื่อญวนเกิดข้อพิพาทกับฝรั่งเศส จึงได้เปิดเจรจากับไทย ทำให้ยุติสงครามระหว่างกันได้ และหลังจากญวนได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้วความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญวนก็ได้ยุติลงอย่างเป็นทางการ                                                                                                                                  1.7)ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายู   มีทั้งการขยายอิทธิพลเข้าไปครอบครอง การผูกมิตรไมตรี และบางครั้งก็ทำสงครามต่อกันโดยในสมัยรัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 3 ได้มีการก่อกบฏหลายครั้งในหัวเมืองมลายู แต่ไทยก็สามารถปราบได้ทุกครั้ง หลังจากนั้นก็ดำเนินนโยบายลดอำนาจการปกครองของสุลต่านแต่ละเมืองให้น้อยลง พร้อมกันนั้นก็ทำนุบำรุงหัวเมืองไทยตอนบน เช่น สงขลา พัทลุง พังงา และตรังให้เข้มแข็ง เพื่อปราบการก่อกบฏของหัวเมืองมลายู
                               1.8)ความสัมพันธ์กับจีน  เป็นไปในลักษณะแบบรัฐบรรณาการ ซึ่งนอกจากไทยจะได้ประโยชน์จากการค้าขายกับจีนแล้ว ยังได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจีนหลายประการด้วย
                    2)ลักษณะความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ในช่วงแรกจะเป็นเรื่องของการติดต่อค้าขาย ในช่วงหลังจะเป็นด้านการเมือง พร้อมกับการเผยแผ่ศาสนาของคณะมิชชันนารี โดยชาติตะวันตกที่มีบทบาทสำคัญ มีดังนี้                                                                                                                                                                 2.1)ความสัมพันธ์กับโปรตุเกส  โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย โดยจะเป็นเรื่องการผูกไมตรีทางการทูตและการติดต่อค้าขาย                                                         2.2) ความสัมพันธ์กับอังกฤษ  ในช่วงแรกจะเป็นความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้า แต่ช่วงหลังจะมีความสัมพันธ์ทางการเมืองด้วย  โดยในสมัยรัชกาลที่ 2 อังกฤษได้ส่งจอห์น  ครอว์เฟิร์ด เป็นทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยเรื่องการค้า แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษได้ส่งร้อยเอกเฮนรี      เบอร์นีย์ เข้ามาทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์กับไทยเมื่อ พ.ศ. 2369 ผลของสนธิสัญญา ทำให้อังกฤษได้รับผลประโยชน์ทางการค้า เพราะไทยยอมเปลี่ยนแปลงระบบจัดเก็บภาษีให้เป็นการเก็บค่าปากเรืออย่างเดียวตามความต้องการของอังกฤษ และในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษได้ส่งเซอร์เจมส์ บรูค เข้ามาแก้ไขสนธิสัญญาเบอร์นีย์กับไทย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ      
                              2.3)ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา  จะเป็นความสัมพันธ์ทางการค้าและความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรม โดยผ่านคณะมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนา ชาวอเมริกันเริ่มเข้ามาค้าขายกับไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 และเพิ่มมากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมด้วย เช่น การจัดทำหนังสือ เอกสาร หนังสือพิมพ์ ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ  เป็นต้น
         


พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ

พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ
     (1)  เศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
               ประชาชนส่วนใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  มีอาชีพหลัก  คือ  การทำกสิกรรม  เป็นเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเอง  และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ  เช่น  ประเทศจีน  ชวา  มลายู  และประเทศตะวันตก
               การค้ากับต่างประเทศส่วนใหญ่ค้าขายทางาทะเลโดยเรือสำเภา  มีพระคลังสินค้าทำหน้าที่ผูกขาดการซื้อขายสินค้า  รายได้ของแผ่นดินนั้นจะได้จากการเก็บภาษี 4 ประเภท  เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา  คือ  จังกอบ  อากร  ส่วย  และฤชา
               สินค้าที่ส่งออกขายต่างประเทศส่วนใหญ่  ได้แก่  ข้าว  น้ำตาล  พริกไทย  ดีบุก  รังนก  ฝาง  และของอื่น ๆ ในพระคลังสินค้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 3  ได้มีการทำสัญญาทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษ  เมื่อ พ.ศ. 2369  เรียกว่า  สัญญาเบอร์นี  และได้ทำสัญญากับสหรัฐอเมริกาในทำนองเดียวกัน  จึงทำให้พ่อค้าต่างประเทศเข้ามาค้าขายในกรุงเทพ ฯ มากขึ้น  ทำให้ไทยมีโอกาสส่งสินค้าออกได้มากขึ้น
               ดังนั้นรายได้ของแผ่นดินในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้จากกิจการ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ  ภาษีอากรที่เก็บในประเทศและภาษีขาเข้ารวมทั้งการค้ากับต่างประเทศด้วย
     (2)  เศรษฐกิจไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตก
               ในสมัยรัชกาลที่ 4  ไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ  ทำให้การค้ากับต่างประเทศมีความคล่องตัว  และมีเสรีทางการค้ามากขึ้น  ทำให้ต่างประเทศพอใจ  และส่งผู้แทนเข้ามาทำสัญญาการค้ากับไทยมากขึ้น
               เนื่องจากวิธีการจัดบริหารด้านภาษีอากรของประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ  จึงทำให้เงินรั่วไหลไปมาก  รัชกาลที่ 5  ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงวิธีจัดเก็บภาษีและวิธีการบริหารด้านภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  พระองค์ทรงปฏิรูประบบเศรษฐกิจ  และการคลังในระบบที่ชัดเจน  ดังนี้
               1)  ยกเลิกระบบการเก็บภาษีอากรเดิม  โดยการวางพิกัดอัตราเก็บภาษีเดียวกันทุกมณฑล  และแต่งตั้งข้าหลวงคลังไปประจำทุกมณฑล  เพื่อดูแลการเก็บภาษีให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
               2)  ทำงบประมาณแผ่นดิน  เพื่อควบคุมรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน
               3)  ทำสนธิสัญญาพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขาย  และพิกัดอัตราภาษีกับประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
               4)  ประกาศเปลี่ยนใช้มาตรฐานเงินมาเป็นมาตรฐานทองคำ
               5)  พิมพ์ธนบัตรใช้เป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2445
               ผลจากการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 5  ดังกล่าว  ทำให้ระบบการเงินของไทยมีเสถียรภาพตามหลักมาตรฐานสากล  และทำให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น  ฐานะการคลังมีความมั่นคงและสามารถพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นอีกด้วย
               ในสมัยรัชกาลที่ 6  เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ  เนื่องจากเกิดอุทกภัยในปี พ.ศ. 2461  และเกิดฝนแล้งในปี พ.ศ. 2462  ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อการปลูกข้าว  ทำให้ขาดแคลนข้าวที่จะบริโภค  และที่เคยส่งออกขายในต่างประเทศ  ทำให้รายได้ที่เคยได้รับจาการส่งข้าวออกลดต่ำลง
               ในสมัยรัชกาลที่ 7  ทรงรัชภาระหลังจากสภาวะเศรษฐกิจาที่ตำต่ำมาในสมัยรัชกาลที่ 6  จึงทรงแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน  เพื่อให้ประเทศมีรายจ่ายและรายรับสมดุลกัน  จึงได้ดำเนินการ  ดังนี้
               1)  ยุบตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่จำเป็น  และปลดข้าราชการบางตำแหน่ง  เพื่อตัดทอนรายาจ่ายของรัฐบาล
               2)  ลดเงินที่จะรับเข้าพระคลังข้างที่ปีละ 4 ล้านบาท  เพื่อตัดทอดรายจ่ายราชสำนักและส่วนพระองค์
               3)  เพิ่มการเก็บภาษีบางประเภท  เช่น  ภาษีเงินเดือน
               การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 7  ยังไม่สามารถทำให้ฐานะการเงินของประเทศอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย  เพราะราษฎรว่างงาน  ข้าราชการที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เกิดความไม่พอใจ  ประกอบกับมีกลุ่มคนหนุ่มที่จบการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศและในประเทศมีความต้องการจะปฏิวัติ  จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยในปี พ.ศ. 2475
เรื่องเก่า - ชวนรู้
     รัชกาลที่ 6  เป็นพระเชษฐา (พี่ชาย)  ของรัชกาลที่ 7  ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5
     ส่วนรัชกาลที่ 8  เป็นพระเชษฐา (พี่ชาย)  ของรัชกาลที่ 9  ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระราชนัดดา (หลาน) ของรัชกาลที่ 5