พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ
(1) เศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ประชาชนส่วนใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีอาชีพหลัก คือ การทำกสิกรรม เป็นเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเอง และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน ชวา มลายู และประเทศตะวันตก
การค้ากับต่างประเทศส่วนใหญ่ค้าขายทางาทะเลโดยเรือสำเภา มีพระคลังสินค้าทำหน้าที่ผูกขาดการซื้อขายสินค้า รายได้ของแผ่นดินนั้นจะได้จากการเก็บภาษี 4 ประเภท เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา คือ จังกอบ อากร ส่วย และฤชา
สินค้าที่ส่งออกขายต่างประเทศส่วนใหญ่ ได้แก่ ข้าว น้ำตาล พริกไทย ดีบุก รังนก ฝาง และของอื่น ๆ ในพระคลังสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการทำสัญญาทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2369 เรียกว่า สัญญาเบอร์นี และได้ทำสัญญากับสหรัฐอเมริกาในทำนองเดียวกัน จึงทำให้พ่อค้าต่างประเทศเข้ามาค้าขายในกรุงเทพ ฯ มากขึ้น ทำให้ไทยมีโอกาสส่งสินค้าออกได้มากขึ้น
ดังนั้นรายได้ของแผ่นดินในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้จากกิจการ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ภาษีอากรที่เก็บในประเทศและภาษีขาเข้ารวมทั้งการค้ากับต่างประเทศด้วย
(2) เศรษฐกิจไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตก
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ ทำให้การค้ากับต่างประเทศมีความคล่องตัว และมีเสรีทางการค้ามากขึ้น ทำให้ต่างประเทศพอใจ และส่งผู้แทนเข้ามาทำสัญญาการค้ากับไทยมากขึ้น
เนื่องจากวิธีการจัดบริหารด้านภาษีอากรของประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ จึงทำให้เงินรั่วไหลไปมาก รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงวิธีจัดเก็บภาษีและวิธีการบริหารด้านภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พระองค์ทรงปฏิรูประบบเศรษฐกิจ และการคลังในระบบที่ชัดเจน ดังนี้
1) ยกเลิกระบบการเก็บภาษีอากรเดิม โดยการวางพิกัดอัตราเก็บภาษีเดียวกันทุกมณฑล และแต่งตั้งข้าหลวงคลังไปประจำทุกมณฑล เพื่อดูแลการเก็บภาษีให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
2) ทำงบประมาณแผ่นดิน เพื่อควบคุมรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน
3) ทำสนธิสัญญาพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขาย และพิกัดอัตราภาษีกับประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
4) ประกาศเปลี่ยนใช้มาตรฐานเงินมาเป็นมาตรฐานทองคำ
5) พิมพ์ธนบัตรใช้เป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2445
ผลจากการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 5 ดังกล่าว ทำให้ระบบการเงินของไทยมีเสถียรภาพตามหลักมาตรฐานสากล และทำให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น ฐานะการคลังมีความมั่นคงและสามารถพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นอีกด้วย
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ เนื่องจากเกิดอุทกภัยในปี พ.ศ. 2461 และเกิดฝนแล้งในปี พ.ศ. 2462 ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อการปลูกข้าว ทำให้ขาดแคลนข้าวที่จะบริโภค และที่เคยส่งออกขายในต่างประเทศ ทำให้รายได้ที่เคยได้รับจาการส่งข้าวออกลดต่ำลง
ในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงรัชภาระหลังจากสภาวะเศรษฐกิจาที่ตำต่ำมาในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงทรงแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประเทศมีรายจ่ายและรายรับสมดุลกัน จึงได้ดำเนินการ ดังนี้
1) ยุบตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่จำเป็น และปลดข้าราชการบางตำแหน่ง เพื่อตัดทอนรายาจ่ายของรัฐบาล
2) ลดเงินที่จะรับเข้าพระคลังข้างที่ปีละ 4 ล้านบาท เพื่อตัดทอดรายจ่ายราชสำนักและส่วนพระองค์
3) เพิ่มการเก็บภาษีบางประเภท เช่น ภาษีเงินเดือน
การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 7 ยังไม่สามารถทำให้ฐานะการเงินของประเทศอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย เพราะราษฎรว่างงาน ข้าราชการที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เกิดความไม่พอใจ ประกอบกับมีกลุ่มคนหนุ่มที่จบการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศและในประเทศมีความต้องการจะปฏิวัติ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยในปี พ.ศ. 2475
เรื่องเก่า - ชวนรู้
รัชกาลที่ 6 เป็นพระเชษฐา (พี่ชาย) ของรัชกาลที่ 7 ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5
ส่วนรัชกาลที่ 8 เป็นพระเชษฐา (พี่ชาย) ของรัชกาลที่ 9 ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระราชนัดดา (หลาน) ของรัชกาลที่ 5
(1) เศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ประชาชนส่วนใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีอาชีพหลัก คือ การทำกสิกรรม เป็นเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเอง และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ เช่น ประเทศจีน ชวา มลายู และประเทศตะวันตก
การค้ากับต่างประเทศส่วนใหญ่ค้าขายทางาทะเลโดยเรือสำเภา มีพระคลังสินค้าทำหน้าที่ผูกขาดการซื้อขายสินค้า รายได้ของแผ่นดินนั้นจะได้จากการเก็บภาษี 4 ประเภท เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา คือ จังกอบ อากร ส่วย และฤชา
สินค้าที่ส่งออกขายต่างประเทศส่วนใหญ่ ได้แก่ ข้าว น้ำตาล พริกไทย ดีบุก รังนก ฝาง และของอื่น ๆ ในพระคลังสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้มีการทำสัญญาทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2369 เรียกว่า สัญญาเบอร์นี และได้ทำสัญญากับสหรัฐอเมริกาในทำนองเดียวกัน จึงทำให้พ่อค้าต่างประเทศเข้ามาค้าขายในกรุงเทพ ฯ มากขึ้น ทำให้ไทยมีโอกาสส่งสินค้าออกได้มากขึ้น
ดังนั้นรายได้ของแผ่นดินในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้จากกิจการ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ภาษีอากรที่เก็บในประเทศและภาษีขาเข้ารวมทั้งการค้ากับต่างประเทศด้วย
(2) เศรษฐกิจไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตก
ในสมัยรัชกาลที่ 4 ไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ ทำให้การค้ากับต่างประเทศมีความคล่องตัว และมีเสรีทางการค้ามากขึ้น ทำให้ต่างประเทศพอใจ และส่งผู้แทนเข้ามาทำสัญญาการค้ากับไทยมากขึ้น
เนื่องจากวิธีการจัดบริหารด้านภาษีอากรของประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ จึงทำให้เงินรั่วไหลไปมาก รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงวิธีจัดเก็บภาษีและวิธีการบริหารด้านภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พระองค์ทรงปฏิรูประบบเศรษฐกิจ และการคลังในระบบที่ชัดเจน ดังนี้
1) ยกเลิกระบบการเก็บภาษีอากรเดิม โดยการวางพิกัดอัตราเก็บภาษีเดียวกันทุกมณฑล และแต่งตั้งข้าหลวงคลังไปประจำทุกมณฑล เพื่อดูแลการเก็บภาษีให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
2) ทำงบประมาณแผ่นดิน เพื่อควบคุมรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน
3) ทำสนธิสัญญาพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขาย และพิกัดอัตราภาษีกับประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
4) ประกาศเปลี่ยนใช้มาตรฐานเงินมาเป็นมาตรฐานทองคำ
5) พิมพ์ธนบัตรใช้เป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2445
ผลจากการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 5 ดังกล่าว ทำให้ระบบการเงินของไทยมีเสถียรภาพตามหลักมาตรฐานสากล และทำให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น ฐานะการคลังมีความมั่นคงและสามารถพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นอีกด้วย
ในสมัยรัชกาลที่ 6 เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ เนื่องจากเกิดอุทกภัยในปี พ.ศ. 2461 และเกิดฝนแล้งในปี พ.ศ. 2462 ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อการปลูกข้าว ทำให้ขาดแคลนข้าวที่จะบริโภค และที่เคยส่งออกขายในต่างประเทศ ทำให้รายได้ที่เคยได้รับจาการส่งข้าวออกลดต่ำลง
ในสมัยรัชกาลที่ 7 ทรงรัชภาระหลังจากสภาวะเศรษฐกิจาที่ตำต่ำมาในสมัยรัชกาลที่ 6 จึงทรงแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ประเทศมีรายจ่ายและรายรับสมดุลกัน จึงได้ดำเนินการ ดังนี้
1) ยุบตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่จำเป็น และปลดข้าราชการบางตำแหน่ง เพื่อตัดทอนรายาจ่ายของรัฐบาล
2) ลดเงินที่จะรับเข้าพระคลังข้างที่ปีละ 4 ล้านบาท เพื่อตัดทอดรายจ่ายราชสำนักและส่วนพระองค์
3) เพิ่มการเก็บภาษีบางประเภท เช่น ภาษีเงินเดือน
การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 7 ยังไม่สามารถทำให้ฐานะการเงินของประเทศอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย เพราะราษฎรว่างงาน ข้าราชการที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เกิดความไม่พอใจ ประกอบกับมีกลุ่มคนหนุ่มที่จบการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศและในประเทศมีความต้องการจะปฏิวัติ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยในปี พ.ศ. 2475
เรื่องเก่า - ชวนรู้
รัชกาลที่ 6 เป็นพระเชษฐา (พี่ชาย) ของรัชกาลที่ 7 ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5
ส่วนรัชกาลที่ 8 เป็นพระเชษฐา (พี่ชาย) ของรัชกาลที่ 9 ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระราชนัดดา (หลาน) ของรัชกาลที่ 5
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น