วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

พัฒนาการทางด้านเศรษฐกิจ

พัฒนาการด้านเศรษฐกิจ
     (1)  เศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
               ประชาชนส่วนใหญ่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  มีอาชีพหลัก  คือ  การทำกสิกรรม  เป็นเศรษฐกิจแบบเลี้ยงตนเอง  และมีการติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ  เช่น  ประเทศจีน  ชวา  มลายู  และประเทศตะวันตก
               การค้ากับต่างประเทศส่วนใหญ่ค้าขายทางาทะเลโดยเรือสำเภา  มีพระคลังสินค้าทำหน้าที่ผูกขาดการซื้อขายสินค้า  รายได้ของแผ่นดินนั้นจะได้จากการเก็บภาษี 4 ประเภท  เช่นเดียวกับสมัยอยุธยา  คือ  จังกอบ  อากร  ส่วย  และฤชา
               สินค้าที่ส่งออกขายต่างประเทศส่วนใหญ่  ได้แก่  ข้าว  น้ำตาล  พริกไทย  ดีบุก  รังนก  ฝาง  และของอื่น ๆ ในพระคลังสินค้า  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 3  ได้มีการทำสัญญาทางการค้าระหว่างไทยกับอังกฤษ  เมื่อ พ.ศ. 2369  เรียกว่า  สัญญาเบอร์นี  และได้ทำสัญญากับสหรัฐอเมริกาในทำนองเดียวกัน  จึงทำให้พ่อค้าต่างประเทศเข้ามาค้าขายในกรุงเทพ ฯ มากขึ้น  ทำให้ไทยมีโอกาสส่งสินค้าออกได้มากขึ้น
               ดังนั้นรายได้ของแผ่นดินในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นได้จากกิจการ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ  ภาษีอากรที่เก็บในประเทศและภาษีขาเข้ารวมทั้งการค้ากับต่างประเทศด้วย
     (2)  เศรษฐกิจไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ยุคปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตก
               ในสมัยรัชกาลที่ 4  ไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ  ทำให้การค้ากับต่างประเทศมีความคล่องตัว  และมีเสรีทางการค้ามากขึ้น  ทำให้ต่างประเทศพอใจ  และส่งผู้แทนเข้ามาทำสัญญาการค้ากับไทยมากขึ้น
               เนื่องจากวิธีการจัดบริหารด้านภาษีอากรของประเทศยังไม่มีประสิทธิภาพดีพอ  จึงทำให้เงินรั่วไหลไปมาก  รัชกาลที่ 5  ทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงวิธีจัดเก็บภาษีและวิธีการบริหารด้านภาษีอากรให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  พระองค์ทรงปฏิรูประบบเศรษฐกิจ  และการคลังในระบบที่ชัดเจน  ดังนี้
               1)  ยกเลิกระบบการเก็บภาษีอากรเดิม  โดยการวางพิกัดอัตราเก็บภาษีเดียวกันทุกมณฑล  และแต่งตั้งข้าหลวงคลังไปประจำทุกมณฑล  เพื่อดูแลการเก็บภาษีให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
               2)  ทำงบประมาณแผ่นดิน  เพื่อควบคุมรายรับรายจ่ายของแผ่นดิน
               3)  ทำสนธิสัญญาพระราชไมตรีว่าด้วยการค้าขาย  และพิกัดอัตราภาษีกับประเทศต่าง ๆ เพิ่มขึ้น
               4)  ประกาศเปลี่ยนใช้มาตรฐานเงินมาเป็นมาตรฐานทองคำ
               5)  พิมพ์ธนบัตรใช้เป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน พ.ศ. 2445
               ผลจากการปฏิรูปเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 5  ดังกล่าว  ทำให้ระบบการเงินของไทยมีเสถียรภาพตามหลักมาตรฐานสากล  และทำให้ประเทศไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น  ฐานะการคลังมีความมั่นคงและสามารถพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้นอีกด้วย
               ในสมัยรัชกาลที่ 6  เศรษฐกิจเริ่มตกต่ำ  เนื่องจากเกิดอุทกภัยในปี พ.ศ. 2461  และเกิดฝนแล้งในปี พ.ศ. 2462  ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อการปลูกข้าว  ทำให้ขาดแคลนข้าวที่จะบริโภค  และที่เคยส่งออกขายในต่างประเทศ  ทำให้รายได้ที่เคยได้รับจาการส่งข้าวออกลดต่ำลง
               ในสมัยรัชกาลที่ 7  ทรงรัชภาระหลังจากสภาวะเศรษฐกิจาที่ตำต่ำมาในสมัยรัชกาลที่ 6  จึงทรงแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน  เพื่อให้ประเทศมีรายจ่ายและรายรับสมดุลกัน  จึงได้ดำเนินการ  ดังนี้
               1)  ยุบตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่จำเป็น  และปลดข้าราชการบางตำแหน่ง  เพื่อตัดทอนรายาจ่ายของรัฐบาล
               2)  ลดเงินที่จะรับเข้าพระคลังข้างที่ปีละ 4 ล้านบาท  เพื่อตัดทอดรายจ่ายราชสำนักและส่วนพระองค์
               3)  เพิ่มการเก็บภาษีบางประเภท  เช่น  ภาษีเงินเดือน
               การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของรัชกาลที่ 7  ยังไม่สามารถทำให้ฐานะการเงินของประเทศอยู่ในสภาพที่ปลอดภัย  เพราะราษฎรว่างงาน  ข้าราชการที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งก็เกิดความไม่พอใจ  ประกอบกับมีกลุ่มคนหนุ่มที่จบการศึกษาระดับสูงจากต่างประเทศและในประเทศมีความต้องการจะปฏิวัติ  จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยในปี พ.ศ. 2475
เรื่องเก่า - ชวนรู้
     รัชกาลที่ 6  เป็นพระเชษฐา (พี่ชาย)  ของรัชกาลที่ 7  ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5
     ส่วนรัชกาลที่ 8  เป็นพระเชษฐา (พี่ชาย)  ของรัชกาลที่ 9  ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระราชนัดดา (หลาน) ของรัชกาลที่ 5

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น