พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทยทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองและความมั่นคงของชาติ พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน ต่างทรงประกอบพระราชกรณียกิจใหญ่น้อยเพื่อสร้างความมั่นคงให้อาณาจักรทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข และสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองในด้านต่างๆ ให้เป็นมรดกตกทอดมาจนปัจจุบัน
ในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชปราบดาพิเษกเป็นพระปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ และทรงสถาปนาพระบรมราชวงศ์จักรี เมื่อ พ.ศ.2325 หลังจากนั้นพระมหากษัตริย์รัชกาลต่อๆมาได้สืบสันตติวงศ์มาจนกระทั่งปัจจุบัน รวม 9 รัชกาล
รายพระนามพระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
รัชกาลที่
|
พระนาม
|
วันเสวยราชย์
|
วันสิ้นสุดรัชกาล
|
1
|
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
|
6 เมษายน 2325
|
7 กันยายน 2352
|
2
|
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศล้านภาลัย
|
7 กันยายน 2352
|
21 กรกฎาคม 2367
|
3
|
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
21 กรกฎาคม 2367
|
2 เมษายน 2394
|
4
|
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
2 เมษายน 2394
|
11 พฤศจิกายน 2411
|
5
|
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
11 พฤศจิกายน 2411
|
23 ตุลาคม 2453
|
6
|
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
23 ตุลาคม 2453
|
26 พฤศจิกายน 2468
|
7
|
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
26 พฤศจิกายน 2468
|
2 มีนาคม 2477*
|
8
|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
|
2 มีนาคม 2477
|
9 มิถุนายน 2489
|
9
|
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
|
9 มิถุนายน 2489
|
-
|
*รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 30พฤษภาคม พ.ศ.2484
พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี
รัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงประกอบพระราชกรณียกิจมากมาย เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงให้ชาติไทย เริ่มจากทรงเลือกที่ตั้งของพระนครใหม่โดยคำนึงถึงยุทธศาสตร์ในการป้องกันข้าศึกศัตรูเป็นสำคัญ อีกทั้งมีความเหมาะสมทางด้นเศรษฐกิจเนื่องจากเป็นพื้นที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การเพาะปลูกและสะดวกต่อการเข้ามาติดต่อค้าขาย พระองค์ทรงสร้างพระนครให้ยิ่งใหญ่สวยงามเทียบเท่ากรุงศรีอยุธยา และทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมให้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้งบ้านเมืองดีในสมัยอยุธยา เป็นการสร้างขวัญให้แก่ราษฎรเกือบตลอดรัชสมัยของพระองค์ทรงทำสงครามกับพม่า เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้กับบ้านเมืองทำให้ไทยรอดพ้นจากภัยคุกคามของอริศัตรูคงความเป็นไทยมาได้จนถึงปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงจัดระเบียบการปกครองสงฆ์ ออกกฎเพื่อให้พระสงฆ์ประพฤติอยู่ในพระธรรมวินัย และสังคายนาพระไตรปิฎกเพื่อให้ถูกต้องสมบูรณ์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า รวมทั้งทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆให้เป็นมรดกของชาติตกทอดจนมาถึงปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายใหม่เรียกว่า กฎหมายตราสามดวง เพื่อใช้เป็นหลักในการตัดสินคดีความต่างๆ ให้เกิดความยุติธรรม นอกจากนี้พระองค์ยังทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี และทรงพระรชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเรื่อง
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ชำระกฎหมายใหม่เรียกว่า กฎหมายตราสามดวง เพื่อใช้เป็นหลักในการตัดสินคดีความต่างๆ ให้เกิดความยุติธรรม นอกจากนี้พระองค์ยังทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมและวรรณคดี และทรงพระรชนิพนธ์วรรณคดีไว้หลายเรื่อง
รัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงมุ่งมั่นสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงให้อาณาจักรมีการทำสงครามกับพม่าที่ยกทัพเข้ามารุกรานหัวเมืองชายทะเลฝั่งตะวันตก พระองค์ทรงแก้ปัญหาฝิ่นอย่างจริงจัง โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายห้ามไม่ให้ซื้อขายสูบฝิ่น เมื่อ พ.ศ.2354 กำหนดบทลงโทษผู้สูบฝิ่นไว้อย่างเคร่งครัด และโปรดเกล้าฯ ให้ออกราชบัญญัติห้ามสูบฝิ่น อีกครั้งเมื่อ พ.ศ.2362 เป็นการประกาศห้ามสูบฝิ่นทั่วราชอาณาจักร
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงออกพระราชกำหนดสักเลก เพื่อเกณฑ์ไพร่เพื่อเข้ารับราชการเตรียมพร้อมรับศึกสงคราม ซึ่งทำให้การเกณฑ์แรงงานไพร่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังลดไพร่เข้ารับราชการเหลือปีละ 3 เดือน ทำให้ราษฎรมีโอกาสประกอบอาชีพทำมาหากินสร้างความมั่งคั่งให้ครอบครัวและบ้านเมืองมากขึ้น พระองค์ทรงส่งเสริมให้พระสงฆ์ศึกษาพระปริยัติธรรมมากขึ้น ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามให้งดงามสมกับเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา เช่นการบูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณราชวราราม ซึ่งถือเป็นวัดประจำรัชกาลของพระองค์ ทรงฟื้นฟูศิลปกรรมทุกแขนง รวมทั้งด้านนาฏกรรม โดยพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละครขึ้นไว้หลายเรื่อง ทรงส่งเสริมความสัมพันธ์กับต่างประเทศเพื่อความมั่นคงทางการเมืองและความมั่งคั่งทางการค้า
รัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกอบพระราชกรณียกิจมากมายเพื่อส่งเสริมความเจริญทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ทรงจัดระบบการเรียกเก็บภาษีแบบใหม่ ทรงปราบปรามฝิ่นอย่างเด็ดขาด โปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศห้ามสูบ กิน ซื้อ ขายฝิ่น เมื่อ พ.ศ.2382 มีบทลงโทษผู้กระทำผิดขั้นประหารชีวิต
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามหลายแห่ง ทรงส่งเสริมการจัดระเบียบการปกครองสงฆ์อย่างเคร่งครัด และทรงส่งเสริมให้มีการศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างงแพร่หลาย โปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมสืบต่อจากรัชกาลก่อน มีการติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศตะวันตกทั้งในด้านการเมืองและการค้า ทรงพระปรีชาสามารถด้านการค้าเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระปรีชาสามารถและสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาตินานัปการ และทรงเป็นผู้มองการไกล ทรงเข้าใจสถานการณ์การเมืองของโลกในขณะนั้น โดยทรงเล็งเห็นว่ามหาอำนาจตะวันตกกลังขยายอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย และต่อไปไทยจะต้องเผชิญกับการขยายอำนาจนี้ จึงทรงเตือนให้ระมัดระวังและศึกษาหาความรู้จากตะวันตกในสิ่งที่ดีที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง
พระราชประวัติรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2330 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2367 - พ.ศ. 2394)
มีพระนามเดิมว่า พระองค์ชายทับพระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี
เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และสมเด็จพระศรีสุราลัย (
เจ้าจอมมารดาเรียม ) ประสูติ ณ วันจันทร์ เดือน 4 แรม 10 คํ่า ปีมะแม ตรงกับวันที่ 31 มีนาคม
พุทธศักราช 2330 มีพระนามเดิมว่า
"พระองค์ชายทับ"
พ.ศ. 2365 พระองค์ชายทับ
ได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์กํากับราชการกรมท่า กรมพระคลังมหาสมบัติ
กรมพระตํารวจว่าการฎีกา นอกจากนี้ยังได้ทรงรับพระกรุณาให้แต่งสําเภาหลวงออกไปค้าขาย
ณ เมืองจีน พระองค์ทรงได้รับพระสามัญญานามว่า "เจ้าสัว"
ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชการที่ 2 ทรงพระประชวรและเสด็จสวรรคต
โดยมิได้ตรัสมอบราชสมบัติให้แก่พระราชโอรสองค์ใด พระบรมวงศานุวงศ์ และบรรดาเสนาบดีผู้เป็นประทานในราชการจึงปรึกษากัน
เห็นควรถวายราชสมบัติแก่พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
อันที่จริงแล้วราชสมบัติควรตกแก่ เจ้าฟ้ามงกุฎ (
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ) เพราะเจ้าฟ้ามงกุฎ
เป็นราชโอรสที่ประสูติจากสมเด็จพระบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 โดยตรง ส่วนกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
เป็นเพียงราชโอรสที่เกิดจากเจ้าจอมเท่านั้น
โดยที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตั้งพระราชหฤทัยไว้แล้วว่าเมื่อสิ้นรัชกาลพระองค์แล้วจะคืนราชสมบัติ
ให้แก่สมเด็จพระอนุชา ( เจ้าฟ้ามงกุฎ) ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงสถาปนาพระบรมราชินี
คงมีแต่เจ้าจอมมารดา และเจ้าจอม พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นครองราชย์ในวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2367 ขึ้น 7 คํ่า เดือน 9 ปีวอกฉศกพระชนมายุได้ 37 พรรษา
พระราชประวัติรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2347 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2393 - พ.ศ. 2411)
มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามหามาลา

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระราชโอรส
ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับสมเด็จพระศรีสุริเยนทรา บรมราชินี
ประสูติเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2347 ตรงกับปีชวด มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้ามหามาลา
ขณะนั้นพระราชบิดายังดัารงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร
เมื่อทรงพระเยาว์ได้ทรงศึกษาอักขะสมัยกับสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา ได้รับสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ มีพระราชอนุชาร่วมพระราชมารดา คือ
เจ้าฟ้าจุธามณี ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อพระชนมายุได้ 9 พรรษา
สมเด็จพระบรมชนกนาถก็โปรดให้มีการพระราชพิธีลงสรง ( พ.ศ. 2355 ) เป็นครั้งแรกที่กระทําขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์
ได้รับพระราชทานนามจารึกในพระสุพรรณปัฎว่า " สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฎสมมุติเทววงศ์พงศ์อิสรค์กษัตริย์
ขัตติยราชกุมาร " สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎฯ ได้เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 4เมษายน พุทธศักราช 2394 ทรงพระนามว่า
"พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" เรียกขานในหมู่ชาวต่างชาติว่า
"คิงส์มงกุฎ" ขณะที่พระองค์ขึ้นเสวย สิริราชย์สมบัตินั้น พระชนมายุ 37 พรรษา
เมื่อได้เสด็จขึ้นครองราชย์แล้วทรงโปรดเกล้าฯ
สถาปนาสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (
พระนามเดิมเจ้าฟ้าจุธามณีโอรสองค์ที่ 50 ของรัชกาลสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
) ขึ้นเป็นสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงมีฐานะเสมือนพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง
พระราชประวัติรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2396 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2411 - พ.ศ. 2453)
มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระนามเดิมว่า
" เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ " เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 4 กับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ( สมเด็จพระนางรําเพยภมรภิรมย์ )
พระองค์ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 ตรงกับวันอังคาร แรม 3 คํ่า เดือน 10 ได้ทรงรับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ และกรมขุนพอนิจประชานาถ
ด้านการศึกษา พระองค์ทรงได้รับการศึกษาเป็นมาอย่างดี คือ
ทรงศึกษาอักษรศาสตร์ โบราณราชประเพณี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ ภาษาไทยรัฐประศาสนศาสตร์
วิชากระบี่ กระบอง วิชาอัศวกรรม วิชามวยปลํ้า การยิงปืนไฟ เมื่อพระชนมายุได้ 16 พรรษา
ได้ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติโดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้สําเร็จราชการ
พ.ศ. 2410 พระเจ้านโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ได้ส่งพระแสงกระบี่มาถวาย
ครั้นพระชนมายุครบที่จะว่าราชการได้
พระองค์จึงได้ทรงทําพิธีราชาภิเษกใหม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2416 ทําให้เกิดผลใหญ่ 2 ข้อ
1. ทําให้พวกพ่อค้าชาวต่างประเทศหันมาทําการติดต่อกับพระองค์โดยตรง
เป็นการปลูกความนิยมนับถือกับชาวต่างประเทศได้เป็นอย่างดีเยี่ยม
2. ทําให้พระองค์
มีพระราชอํานาจที่จะควบคุมกําลังทหารการเงินได้โดยตรงเป็นได้ทรงอํานาจในบ้านเมืองโดยสมบูรณ์
พระราชประวัติรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2423 ขึ้นครองราชย์
พ.ศ. 2453 - พ.ศ. 2468)
มีพระนามเดิมว่า
สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชสมภพเมื่อ
วันเสาร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2421 พระองค์ทรงเป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
และสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี ( สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี )
เมื่อยังทรงพระเยาว์ทรงพระนามว่า "สมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ"
ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเทพทวาราวดี ในปี พ.ศ. 2431 และต่อมาในปี พ.ศ. 2437 สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ
ได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมารดํารงตําแหน่งรัชทายาท
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ
จึงได้รับสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฎราชกุมาร
ดํารงตําแหน่งรัชทายาทแทน
พระราชประวัติรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
(ประสูติ พ.ศ. 2436 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2468 - พ.ศ. 2477)
มีพระนามเดิมว่า
เจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดช กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นโอรสองค์ที่ 76 ทรงเป็นพระโอรสองค์เล็กของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ซึ่งทรงประสูติแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนารถ
นับว่าเป็นพระราชโอรสองค์เล็กสุด ประสูติ เมื่อวันที่ 8 พฤศจิการยน พ.ศ. 2436 ตรงกับวันพุธ แรม 14 คํ่า เดือน 11 ปีมะเส็ง ทรงพระนามเดิมว่า
" เจ้าฟ้าชายประชาธิปกศักดิเดช กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา
เมื่อทรงมีพระชนมายุได้ 12 พรรษา พระองค์ได้เข้าศึกษา
ในวิทยาลัยทหารบก ณ ประเทศอังกฤษจนจบและได้เสด็จกลับมารับราชการในรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นพระเชษฐาธิราชของพระองค์
โดยได้รับยศเป็นนายพันโททหารบกมีตําแหน่งเป็นราชองครักษ์
และผู้บังคับการโรงเรียนนายร้อยชั้นประถม
ต่อมาภายหลังได้เลื่อนตําแหน่งเป็นลําดับจนเป็นนายพันเอก
มีตําแหน่งเป็นปลัดกรมเสนาธิการทหารบก
ก่อนขึ้นครองราชสมบัติมีตําแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2
พระราชประวัติรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
(ประสูติ พ.ศ. 2468 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2472 - พ.ศ. 2489) มีพระนามเดิมว่า
พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ทรงพระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ตรงกับวันขึ้น 3 คํ่า เดือน 11 ปีฉลู ณ เมืองไฮเดลแบร์ก ประเทศเยอรมันนี ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 2 ของสมเด็จพระราชบิดาเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์
และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ทรงมีพระพี่นางและพระอนุชาร่วมสมเด็จพระราชบิดาและสมเด็จพระราชชนนีเดียวกันคือ1. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา 2. สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พ.ศ. 2472 สมเด็จพระราชบิดา
เจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชกรมหลวงสงขลานครินทร์เสด็จทิวงคต พ.ศ. 2474 พระองค์ได้เสด็จไปทรงศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ถนนเพลินจิต พ.ศ. 2476 เสด็จพระราชดําเนินไปทวีปยุโรป
ประทับ ณ เมืองโลซานน์ประเทศสวิสเซอร์แลนด์พ.ศ. 2477 ทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม
พ.ศ. 2477 เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดาที่จะสืบราชสันตติวงศ์
และด้วยความเห็นชอบของผู้สําเร็จราชการแผ่นดินที่ได้ดําเนินการไปตามกฎมณเฑียรบาล พ.ศ. 2481 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ได้เสด็จพระราชดําเนินกลับเยี่ยมประเทศไทยพร้อมด้วยสมเด็จพระชนนี
สมเด็จพระพี่นางเธอและสมเด็จพระเจ้าน้องเธอ
ได้ทรงประประทับอยู่ที่พระตําหนักจิตรลดารโหฐานประมาณ 2 เดือน จึงเสด็จไปประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เพื่อเข้าศึกษาวิชานิติศาสตร์
และการปกครองในมหาวิทยาลัยประเทศนั้น
พ.ศ. 2488 วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2488 พระองค์ทรงบรรลุนิติภาวะ
จึงเสด็จกลับมาถึงประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง และในวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 ได้ทรงประทับอยู่ ณ
พระที่นั่งบรมพิมานในพระบรมมหาราชวังผู้สําเร็จราชการแทนคนล่าสุดคือ นายปรีดี
พนมยงค์ ได้ถวายพระราชภารกิจแด่พระองค์เพื่อได้ทรงบริหารเต็มที่ตามพระราชอํานาจ
พระราชประวัติรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
(ประสูติ
พ.ศ. 2470 ขึ้นครองราชย์ พ.ศ. 2489
- ปัจจุบัน)

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม
พ.ศ. 2470 ณ เมืองเคมบริจดจ์มลรัฐเมสสาชูเสท
ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงเป็นพระราชโอรสาธิราช องค์ที่ 3 ในสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ( สมเด็จพระศรีนครินทรทรา บรมราชชนนี )
พระองค์เป็นพระราชโอรสองค์เล็ก ทรงมีพระเชษฐาธิราชว่า "
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล " พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ รัชกาลที่ 8 และมีพระพี่นาง พระนามว่า " สมเด็จพระพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
"
พระองค์ได้เสด็จกลับเถลิงถวัลยราชสมบัติต่อจากพระบรมเชษฐาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน
พ.ศ. 2489 ขณะมีพระชันษา 19 ปี
ก่อนครองราชย์ได้ทรงศึกษาวิชาวิศวกรรมศาสตร์และได้เสด็จกลับไปศึกษาวิชานิติศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ต่ออีกภายหลังที่ได้ครองราชย์แล้ว
ทรงสนพระทัยในอักษรศาสตร์
และการดนตรีทรงรอบรู้ภาษาต่างประเทศหลายภาษาและตรัสได้อย่างคล่องแคล่ว
จนเป็นที่ประจักษ์แก่คณะทูตานุทูตและประชาชนชาวเมืองนั้นๆ เป็นอย่างดี
ต่างพากันชมว่า พระองค์ทรงมีความรู้ทันสมัยที่สุดพระองค์หนึ่ง
สําหรับดนตรีนั้นทรงประพันธ์เนื้อร้องและทํานองเพลงแด่คณะวงดนตรีต่างๆ
มีเพลงพระราชนิพนธ์ที่คนไทยรู้จักเช่น เพลงสายฝน เพลงประจํามหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
เพลงประจํามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พระองค์เคยเข้าร่วมวงดนตรีกับชาวต่างประเทศมาแล้ว
โดยไม่ถือพระองค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น