พัฒนาการทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยรัตนโกสินทร์
สำหรับลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยในสมัยรัตนโกสินทร์สามารถแบ่งออกได้เป็นช่วงดังนี้ 1.ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
( พ.ศ. 2325 – 2394 ) การดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยระหว่าง
พ.ศ. 2325 – 2394 จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาความมั่นคงของอาณาจักร
และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยแบ่งเป็น 1)ลักษณะความสัมพันธ์กับรัฐที่อยู่ใกล้เคียงในทวีปเอเชีย มีทั้งการขยายอิทธิพลเข้าไปครอบครองเพื่อเป็นพันธมิตร การทำสงคราม
และแบบรัฐบรรณาการ 1.1) ความสัมพันธ์กับล้านนา
ในสมัยรัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 3 เป็นพันธมิตรที่ดีต่อกัน เช่น รัชกาลที่ 1 ทรงส่งกองทัพไปช่วยล้านนาขับไล่พม่า
ทั้งยังทรงสถาปนาพระยากาวิละที่รบชนะพม่าให้เป็นพระเจ้าเชียงใหม่
โดยปกครองดูแลหัวเมืองเหนือทั้งหมด เป็นต้น 1.2)ความสัมพันธ์กับพม่า
อยู่ในลักษณะทำสงครามสู้รบกัน โดยไทยทำสงครามกับพม่ารวมทั้งสิ้น 10
ครั้ง สงครามครั้งที่มีความสำคัญที่สุด คือ สงครามเก้าทัพใน พ.ศ. 2328
แต่เมื่อพม่าเผชิญหน้ากับการคุกคามของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก คือ
อังกฤษ ในเวลาต่อมาก็ไม่ได้ยกทัพมาสู้รบกับไทยอีก
1.3)ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมอญ
สมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 ความสัมพันธ์จะอยู่ในลักษณะการผูกไมตรีและอุปถัมภ์พวกมอญ เช่น
ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้ทรงส่งกำลังไปช่วยพระยาทวายรบกับพม่าที่เข้ามายึดครอง
หลังจากปิดล้อมเมืองอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็โปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพกลับ
และพาครอบครัวชาวมอญมายังกรุงเทพฯ ด้วย หรือรัชกาลที่ 2 โปรดเกล้าฯ
ให้ชาวมอญไปตั้งชุมชนอยู่ที่เมืองนนทบุรี ปทุมธานี และเมืองนครเขื่อนขันธุ์
(พระประแดง) ผลดีจากความสัมพันธ์ดังกล่าว นอกจากจะได้ผู้คนเพิ่มขึ้นและความจงรักภักดีแล้ว
ไทยยังได้รับอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรมบางประการจากชาวมอญด้วย อย่างไรก็ดี
ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อเมืองมะริด ทวาย ตะนาวศรี
ตกเป็นของอังกฤษ ไทยก็ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับหัวเมืองมอญอีก 1.4)ความสัมพันธ์กับเขมร
อยู่ในลักษณะการทำสงครามเพื่อขยายอำนาจเข้าครอบครอง
เพราะไทยต้องการให้เขมรเป็นรัฐกันชนระหว่างไทยกับญวน โดยในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้ทรงแต่งตั้งกษัตริย์ปกครองเขมร แต่ในสมัยรัชกาลที่ 2 เขมรได้เอาใจออกห่างไทยโดยหันไปฝักใฝ่กับญวนแทน จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 3
โปรดเกล้าฯ ให้ส่งกองทัพไปขับไล่ญวนออกจากเขมร
แล้วให้ตีลงไปจนถึงไซ่ง่อน
ในที่สุดไทยกับญวนก็ได้ร่วมกันแก้ไขข้อพิพาทร่วมกันโดยให้เขมรส่งบรรณาการแก่ไทยและญวนอย่างเท่าเทียมกัน
ปัญหาระหว่างไทยกับญวนเรื่องเขมรจึงยุติลง 1.5)ความสัมพันธ์กับล้านช้าง
(ลาว) มีทั้งการขยายอิทธิพลเข้าไปครอบครอง
การผูกมิตรไมตรี และบางครั้งก็ทำสงครามต่อกัน โดยในสมัยรัชกาลที่ 1 ล้านช้างเกิดความแตกแยกภายใน
ทำให้ไทยขยายอิทธิพลเข้าไปได้ง่ายขึ้นผสมผสานกับการผูกมิตรไมตรีเพื่อให้เกิดความจงรักภักดี
ครั้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์แห่งเวียงจันทน์ได้คิดกบฏ
ทางไทยจึงได้ยกกองทัพไปปราบ ลาวจึงตกเป็นประเทศราชของไทยเรื่อยมา จนกระทั่งต้องเสียให้แก่ฝรั่งเศสไปในภายหลังต่อมา 1.6)ความสัมพันธ์กับญวน
ส่วนใหญ่จะเป็นการทำสงครามต่อกันเพื่อแย่งชิงเขมร
โดยที่ไม่มีฝ่ายใดชนะเด็ดขาด ภายหลังเมื่อญวนเกิดข้อพิพาทกับฝรั่งเศส จึงได้เปิดเจรจากับไทย
ทำให้ยุติสงครามระหว่างกันได้
และหลังจากญวนได้ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสแล้วความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญวนก็ได้ยุติลงอย่างเป็นทางการ 1.7)ความสัมพันธ์กับหัวเมืองมลายู มีทั้งการขยายอิทธิพลเข้าไปครอบครอง
การผูกมิตรไมตรี และบางครั้งก็ทำสงครามต่อกันโดยในสมัยรัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 3 ได้มีการก่อกบฏหลายครั้งในหัวเมืองมลายู
แต่ไทยก็สามารถปราบได้ทุกครั้ง หลังจากนั้นก็ดำเนินนโยบายลดอำนาจการปกครองของสุลต่านแต่ละเมืองให้น้อยลง
พร้อมกันนั้นก็ทำนุบำรุงหัวเมืองไทยตอนบน เช่น สงขลา พัทลุง พังงา
และตรังให้เข้มแข็ง เพื่อปราบการก่อกบฏของหัวเมืองมลายู
1.8)ความสัมพันธ์กับจีน
เป็นไปในลักษณะแบบรัฐบรรณาการ ซึ่งนอกจากไทยจะได้ประโยชน์จากการค้าขายกับจีนแล้ว
ยังได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจีนหลายประการด้วย
2)ลักษณะความสัมพันธ์กับชาติตะวันตก ในช่วงแรกจะเป็นเรื่องของการติดต่อค้าขาย
ในช่วงหลังจะเป็นด้านการเมือง พร้อมกับการเผยแผ่ศาสนาของคณะมิชชันนารี
โดยชาติตะวันตกที่มีบทบาทสำคัญ มีดังนี้ 2.1)ความสัมพันธ์กับโปรตุเกส
โปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เดินทางมาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย
โดยจะเป็นเรื่องการผูกไมตรีทางการทูตและการติดต่อค้าขาย 2.2) ความสัมพันธ์กับอังกฤษ
ในช่วงแรกจะเป็นความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้า
แต่ช่วงหลังจะมีความสัมพันธ์ทางการเมืองด้วย โดยในสมัยรัชกาลที่
2 อังกฤษได้ส่งจอห์น ครอว์เฟิร์ด
เป็นทูตเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยเรื่องการค้า แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษได้ส่งร้อยเอกเฮนรี
เบอร์นีย์ เข้ามาทำสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์กับไทยเมื่อ
พ.ศ. 2369 ผลของสนธิสัญญา ทำให้อังกฤษได้รับผลประโยชน์ทางการค้า
เพราะไทยยอมเปลี่ยนแปลงระบบจัดเก็บภาษีให้เป็นการเก็บค่าปากเรืออย่างเดียวตามความต้องการของอังกฤษ
และในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 3 อังกฤษได้ส่งเซอร์เจมส์ บรูค
เข้ามาแก้ไขสนธิสัญญาเบอร์นีย์กับไทย แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
2.3)ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา จะเป็นความสัมพันธ์ทางการค้าและความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรม โดยผ่านคณะมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนา ชาวอเมริกันเริ่มเข้ามาค้าขายกับไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 และเพิ่มมากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมด้วย เช่น การจัดทำหนังสือ เอกสาร หนังสือพิมพ์ ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ เป็นต้น
2.3)ความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา จะเป็นความสัมพันธ์ทางการค้าและความสัมพันธ์ทางด้านวัฒนธรรม โดยผ่านคณะมิชชันนารีที่เข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนา ชาวอเมริกันเริ่มเข้ามาค้าขายกับไทยในสมัยรัชกาลที่ 2 และเพิ่มมากขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ทำให้ไทยได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมด้วย เช่น การจัดทำหนังสือ เอกสาร หนังสือพิมพ์ ความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรค การปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น